บัตรเอทีเอ็ม
จำนวนหรือวงเงิน - ถึง 400000 บาท
อัตราดอกเบี้ย - จาก 8%
ระยะเวลาเงินกู้ - ถึง 60 เดือน
อายุผู้ใช้บริการ - 20-65ปี
โอนเงินเข้าบัญชี
จำนวนหรือวงเงิน - ถึง 180000 บาท
อัตราดอกเบี้ย - จาก 12%
ระยะเวลาเงินกู้ - ถึง 24 เดือน
อายุผู้ใช้บริการ - 22-62ปี
โอนเงินเข้าบัญชี
จำนวนหรือวงเงิน - ถึง 200000 บาท
อัตราดอกเบี้ย - จาก 20%
ระยะเวลาเงินกู้ - ถึง 24 เดือน
อายุผู้ใช้บริการ - 18-52ปี
โอนเงินเข้าบัญชี
จำนวนหรือวงเงิน - ถึง 500000 บาท
อัตราดอกเบี้ย - จาก 10%
ระยะเวลาเงินกู้ - ถึง 60 เดือน
อายุผู้ใช้บริการ - 22-70ปี
โอนเงินเข้าบัญชี
จำนวนหรือวงเงิน - ถึง 200000 บาท
อัตราดอกเบี้ย - จาก 20%
ระยะเวลาเงินกู้ - ถึง 24 เดือน
อายุผู้ใช้บริการ - 18-52ปี
กดเงินสดด่วน
จำนวนหรือวงเงิน - ถึง 150000 บาท
อัตราดอกเบี้ย - จาก 14%
ระยะเวลาเงินกู้ - ถึง 36 เดือน
อายุผู้ใช้บริการ - 19-55ปี
กดเงินสดด่วน
จำนวนหรือวงเงิน - ถึง 100000 บาท
อัตราดอกเบี้ย - จาก 12%
ระยะเวลาเงินกู้ - ถึง 30 เดือน
อายุผู้ใช้บริการ - 20-55ปี
กดเงินสดด่วน
จำนวนหรือวงเงิน - ถึง 350000 บาท
อัตราดอกเบี้ย - จาก 12%
ระยะเวลาเงินกู้ - ถึง 48 เดือน
อายุผู้ใช้บริการ - 20-60ปี
กดเงินสดด่วน
จำนวนหรือวงเงิน - ถึง 1500000 บาท
อัตราดอกเบี้ย - จาก 8%
ระยะเวลาเงินกู้ - ถึง 84 เดือน
อายุผู้ใช้บริการ - 22-72ปี
กดเงินสดจากเอทีเอ็ม
เรื่องต้องรู้ บัตรเอทีเอ็ม รุ่นเก่าแถบแม่เหล็ก ต้องเปลี่ยนเป็นแบบชิปการ์ดแล้ว
ความสะดวกสบายของบัตรเอทีเอ็มเป็นสิ่งที่คนไทยคุ้นชินกันมานาน หลัก ๆ ก็คือเป็นบัตรที่ธนาคารออกไว้ให้เพื่อใช้กดเงินสดโดยหักจากบัญชีธนาคารที่ตนเองฝาก ในอดีตการมี บัตร atm จะเป็นลักษณะของแถบแม่เหล็ก แต่ในปัจจุบันปี 2566 นี้ ทางธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการกำหนดไว้ว่าบัตรเอทีเอ็มต้องเปลี่ยนรูปแบบจากบัตร atm แถบแม่เหล็ก มาเป็นบัตรแบบชิปการ์ด เพื่อความสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น
บัตร atm แถบแม่เหล็กเป็นแบบไหน
สำหรับคนที่สงสัยว่าบัตรของตนเองเป็นแบบไหนกันแน่ แล้วบัตร atm แถบแม่เหล็กเป็นแบบไหน สังเกตง่าย ๆ คือ ถ้าเป็น atm แบบแม่เหล็ก ด้านหลังจะมีแถบแม่เหล็กอยู่ และไม่มีตัวชิปการ์ดสี่เหลี่ยมเงิน ๆ อยู่บริเวณด้านหน้าของบัตรนั่นเอง
ทำไมจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนบัตรเอทีเอ็มรุ่นเก่าแบบแถบแม่เหล็กเป็นแบบชิปการ์ด
หลายคนมีข้อสงสัยว่าการใช้งานบัตรแถบแม่เหล็กที่มีมายาวนานก็ปกติดอยู่ ทำไมถึงจำเป็นต้องมาเปลี่ยนบัตร atm กันด้วย ตรงนี้มีข้อสรุปคร่าว ๆ มาให้รู้กัน อีกอย่างในปี 2023 แบบนี้การอัพเดทบัตรให้ดูทันสมัยก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
- มีความปลอดภัยมากขึ้น
ปัจจัยแรกที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องการให้ทุก ๆ คนที่มีบัตรเอทีเอ็มแบบแถบแม่เหล็ก เปลี่ยนเป็นแบบชิปการ์ดเพื่อความปลอดภัย ช่วยลดความเสี่ยงการโดนโจรกรรมคัดลอกข้อมูลบัตร การปลอมแปลงบัตรมากกว่าการใช้บัตรเครดิต
- ช่วยให้การชำระเงินรูปแบบใหม่ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ
ยุคสมัยที่พัฒนาไปก็เป็นเรื่องปกติที่ทุกสิ่งต้องก้าวไปข้างหน้า การเลือกใช้บัตรเอทีเอ็มแบบชิปการ์ดจึงรองรับการทำธุรกรรมแบบใหม่ ๆ ได้มากขึ้น เช่น ลดการสัมผัสเมื่อต้องจ่ายเงิน, ลดปัญหาการนำไปแอบอ้างใช้งานของพนักงาน เป็นต้น
- เป็นไปตามมาตรฐานสากล
หลาย ๆ ประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่นในแถบยุโรป, สหรัฐฯ หรือออสเตรเลียเอง ต่างก็เลือกใช้บัตรเอทีเอ็มแบบชิปการ์ดทั้งสิ้น ซึ่งการมีบัตรประเภทนี้อยู่กับตัวจะช่วยให้เกิดความสะดวกสบายยามต้องเดินทางไปต่างประเทศแล้วใช้จ่ายเงิน
- ไม่ต้องมีบัตรหลาย ๆ ใบ
สิ่งที่เรียกว่า ชิปการ์ด ก็คือชิปขนาดเล็กที่อยู่ภายในบัตรจะมีข้อมูลต่าง ๆ ของผู้ใช้งานครบถ้วน ไม่ต้องมีบัตรเครดิตหลายใบให้สุ่มเสี่ยงต่อการหาย เช่น บัตรชิปการ์ดสามารถชำระค่าเดินทางขนส่งสาธารณะได้, เบิก ถอน โอน จ่าย และอื่น ๆ
เมื่อโลกมีความทันสมัยมากขึ้น ความอันตรายที่จะโดนโจรกรรมข้อมูลหรือโจรกรรมเงินผ่านโลกออนไลน์ก็มีเยอะตามไปด้วย ดังนั้นใครที่ยังคงใช้งานบัตรเอทีเอ็มแบบเดิม ๆ เป็นแถบแม่เหล็กอยู่ก็ควรเลือกเปลี่ยนเป็นแบบชิปการ์ดเพื่อช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับตัวคุณเองขึ้นจะดีกว่าการสมัครสินเชื่อบัตรกดเงินสดรวมถึงเงินของคุณให้มากขึ้นกว่าเดิมด้วย